จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

แนะนำวิธีรักษา ม ะ เ ร็ ง ด้วยตนเอง ที่หมอไม่ยอมบอกคุณ เพียงทำตามขั้นตอนง่าย ไม่ต้องเสียเงินแพง

แนะนำวิธีรักษา ม ะ เ ร็ ง ด้วยตนเอง ที่หมอไม่ยอมบอกคุณ เพียงทำตามขั้นตอนง่าย ไม่ต้องเสียเงินแพง


แนะนำวิธีรักษามะเร็ ง โดยมะเร็ งแท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตา ย จากสภาพแวดล้อมที่ เป็นพิ ษ แต่ทั้งหมดนี้ก็กลาย เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการฆ่ าร่างกาย แต่นั่นไม่ใช่ ประเด็นที่แท้จริง
มะเร็ ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ที่ พยายามจะรอดตา ย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิ ษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ให้ชัดเจน การพยายามฆ่ าเซลล์ เหล่านั้น โดยไม่ได้ เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่ าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป เอาละค่ะ คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อมของคุณ อย่างรวดเร็วได้อย่างไร


เรามีวิธีแนะนำง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธี คือ 

วิธีที่แรก ใครคุณหายใจลึก ๆ 

– ให้คุณหายใจ ลึก ๆ สิ่งแรกที่ กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ ง คือ การขาดออกซิเจน เซลล์มะเร็ ง ปรับตัว เพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจนต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ ง ก็ยิ่งเติบโตได้ มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการจะ รอดชีวิต อยู่ได้ใน สภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ 

แนะวิธีแก้ไข คือ ให้คุณหายใจเข้าออกลึก ๆ ซึ่งเป็นการออกกำลัง ง่าย ๆ ที่ทำได้ ทุกเช้า เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจน ให้กับเลือ ด เดิน 3 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ

– ให้หายใจ เข้า 4 ครั้งติดกัน กลั้นหายใจ แล้วนับ 1234 

– ให้หายใจ ออกช้าๆ 4 ครั้งติดกัน ทำอย่างนี้ค่ะ 

โดยเริ่ม 1 2 3 4 ทำอีกครั้งค่ะ 1 2 3 4 ผมหายใจ เข้าทางจมูก กลั้นใจแล้ว นับ 1 2 3 4 หายใจออก ทางปาก หายใจเข้า ไปในท้อง ไม่ใช่ หายใจ เข้าไป ในอก นี่คือ วิธีการหายใจที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มี ที่เดินให้เดินในห้องนอนของคุณ เพราะมันมี ที่พอ สำหรับการ ออกกำลังกาย อีกอย่างที่แนะนำการรับประทาน พืชสมุนไพร ที่มีสรรพคุณ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และ เพิ่มปริมาณ ออกซิเจนในเลือ ด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วย ยับยั้งมะเร็ ง เห็ดถั่งเช่า มีสรรพคุณ ช่วยเพิ่ม ภูมิคุ้มกัน และเพิ่มปริมาณ ออกซิเจนในเลือ ด 

วิธีที่สอง ให้คุณหยุดรับประทานของที่ เป็นกรด 

ในวิธีที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่ากลายเป็น เซลล์มะเร็ ง คือ สภาพแวดล้อมที่ เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อมที่ เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่าจะตา ย ในสภาพแวดล้อมที่ เป็นด่าง และ เติบโตในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการรับประทานอาหาร ที่เป็นด่างมากขึ้น เช่น น้ำผักน้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก ให้งดน้ำตาล โคคาโคล่า เปปซี่ และ น้ำอัดลมทุกชนิดเลยนะ กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุห รี่ และ แอลกอฮ อล์ แนะนำให้รับประทาน ผักสด สีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ให้คุณดื่มน้ำผัก สดปั่น ทุกๆเช้า โดยไม่ต้อง รับประทานอะไรอีกเลย จนกว่า จะถึงมื้อเที่ยง นำผักใบเขียวหลากชนิด มะเขือเทศแตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เล วร้า ย และ ออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไปค่ะ เมื่อคุณคุ้นเคยกับมัน 

วิธีที่สาม ให้คุณดูแลร่างกายของคุณ 

โดยความเครียดนั้น จะทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอความเครียด คือ ฆ าตกร เบอร์หนึ่ง และ เป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโร ค ทุกโร ค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่ง ทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมากๆ ที่เราจะต้องทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบาน อยู่เสมอ คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร 

แนะนำการ ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการ ดูข่าวร้า ย และ เรื่องเล วร้า ย อ่านหนังสือดี ๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเล วร้า ยต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว และหากอ่านแล้วดี ก็ข้อให้แชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้ ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการบำบัด ด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่างเหนือ คำบรรยาย ช่วยให้ผู้อื่นตื่นจากฝันร้า ย ที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยากันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ ง เป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียจน แทบจะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ ใช้ความคิดให้ถูกต้อง จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะการทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้นเถอะค่ะ

ขอบคุณข้อมูล และรูปภาพจาก : http://www.rak-sukapap.com/2019/01/blog-post_612.html?fbclid=IwAR23uMKodz9X6j9cJlxkjoyRoOaOyRtynT1u9sRpiiIxFEUBNCclhPm1cFA

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ สุดยอดคุณประโยชน์ดีๆ ที่ไม่กินไม่ได้แล้ว

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ สุดยอดคุณประโยชน์ดีๆ ที่ไม่กินไม่ได้แล้ว


หามากินด่วน ข้าวไรซ์เบอร์รี่ สุดยอดคุณประโยชน์ดีๆ ที่ไม่กินไม่ได้แล้ว ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (riceberry) เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างข้าวเจ้าหอมนิลกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีลักษณะเป็นข้าวเจ้า สีม่วงเข้ม รูปร่างเมล็ดเรียวยาว ข้าวกล้องมีความนุ่มนวลมาก
ซึ่งปัจจุบันข้าวไรซ์เบอร์รี่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพอย่างกว้างขวาง เพราะข้าวชนิดนี้มีคุณประโยชน์มากมาย


อีกทั้งยังรสชาติดีอีกด้วย ทำให้ได้รับการะแสการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคจนถึงปัจจุบัน กระแสดีขนาดนี้ไปดูคุณประโยชน์ดีๆที่ได้จากการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่กันบ้างดีกว่า บอกได้เลยว่าต้องรีบหามาทานด่วน ! ดีอย่างไร ไปดูกันต่อเลย


ประโยชน์ดีๆของข้าวไรซ์เบอร์รี่


1. มีโอเมก้า 3 ที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาท สมองและตับ

2. ลดไขมัน คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในหลอดเลือด

3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส

4. ลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง และหัวใจ

5. ป้องกันโรคเหน็บชา

6. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดเความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง

7. แก้ท้องเสีย ท้องร่วง

8. ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม

9. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

10. ลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน

11. ลดความดันโลหิตสูง

12. มีกากใยอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบการขับถ่าย เนื่องจากมีเส้นใยอาหาร (fiber) มีอยู่ปริมาณมากในข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่นั่นเอง

ประโยชน์ดีๆเยอะขนาดนี้ อย่าลืมหามาทานกันนะคะ รับรองว่านอกจากประโยชน์ดีๆเหล่านี้ที่จะได้รับแล้ว เรื่องรสชาติก็ดีไม่แพ้กัน ถ้าไม่เชื่อลองดูนะคะ ^^

ขอขอบคุณที่มาจาก : http://health.sanook.com

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก : http://www.thaihealth.or.th/

และ http://www.thaijobsgov.com/jobs/97912
 

สูตรทำน้ำใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน และลดน้ำตาลในเลือดได้

สูตรทำน้ำใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน และลดน้ำตาลในเลือดได้

 สูตรทำน้ำใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน และลดน้ำตาลในเลือดได้
ใบเตยหอม เป็นพืชสมุนไพรไทยที่มีกลิ่นหอมและมีประโยชน์ในหลายๆด้าน เช่น แค่เราเอาวางไว้เฉยๆก็จะช่วยสร้างบรรยากาศ เพราะกลิ่นของมันจะช่วยดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทำให้อากาศสดชื่น นอกจากนี้ยังสามารถเอาประกอบอาหารได้ เช่น สกัดเอาสีของเขียวใบเตยมาใส่อาหาร หรือใส่ขนม หรือว่าจะเอาใบเตยมาต้มน้ำสมุนไพรเพื่อดื่มจะยิ่งได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก


แค่ต้มน้ำ ใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

“เตย หรือ เตยหอม” ชื่อภาษาอังกฤษ Panda Leaves มั่นใจเลยครับว่าคนไทยทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะว่าเรามักนิยมนำใบเตยมาใช้ประโยชน์ต่างๆได้อย่างมากมายครับ เช่น

นำมาต้มน้ำกิน ก็จะได้น้ำหอมๆที่ใครๆก็ต้องชอบ

นำมาประกอบอาหาร ได้ทั้งสี กลิ่น หรือนำมาเป็นที่รองอาหารก็ได้ครับ ช่วยเพิ่มความน่ารับประทานขึ้นไปอีก

ถ้าเด็กๆนึกภาพไม่ออกก็คือใบที่หมีแพนด้าชอบกินนั่นเองครับ ฯลฯ

แต่วันนี้เราจะพามาดูใบเตยหอม มีสรรพคุณอะไรบ้างต่อสุขภาพร่างกายของเรา บอกเลย..ข้อดีเพียบ!!

1. รักษาอาการเบาหวาน ลดน้ำตาลในเส้นเลือด

ให้ใช้รากของใบเตยประมาณ 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร จนเดือด จากนั้นเคี่ยวต่อประมาณ 15 – 20 นาที นำน้ำที่ได้ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ใบเตยร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ โดยนำใบเตยหอมจำนวน 32 ใบ ใบสัก 9 ใบ  มาหั่นตากแดด แล้วชงดื่มแบบชา หรือใส่หม้อดินต้มดื่มแทนน้ำทุกวัน

แค่ต้มน้ำ ใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

2. ขับปัสสาวะ

ให้ใช้ต้นใบเตยหอม 1 ต้น หรือรากของใบเตยครึ่งกำมือ ต้มกับน้ำดื่ม

3. บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต

ให้ใช้ใบเตยสดๆไม่จำกัดจำนวน ผสมลงในอาหาร จะทำให้อาหารมีรสชาติหอมเย็น เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้หัวใจสดชื่น ชุ่มฉ่ำ นอกจากนั้นสามารถเอาใบสดมาคั้นน้ำรับประทานเช้า-เย็น

4. บรรเทาอาการอ่อนเพลียเนื่องจากการแพ้ท้อง

การดื่มชาใบเตย วันละ 2 แก้ว สามารถช่วยให้กระปรี้กระเปร่าได้มากขึ้น เพราะมีสรรพคุณบำรุงกำลังและบำรุงประสาท ทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์สดชื่นจากการแพ้ท้องได้ นอกจากนี้จะช่วยลดความดันในช่วงตั้งครรภ์ได้

แค่ต้มน้ำ ใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

5. รักษาโรคหัด

นำใบเตยมาตำพอหยาบ ๆ จากนั้นพอกลงบนผิว ใบเตยจะช่วยล้างพิษ เชื้อโรค และไวรัสที่อยู่บนผิวได้

6. บรรเทาโรคข้อและโรครูมาตอยด์

วิธีการนำใบเตยสด 3 ใบมาล้างให้สะอาด จากนั้นสับพอละเอียดแล้วผสมน้ำมันมะพร้าวลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ใช้เป็นยาทาบรรเทาอาการปวดและอักเสบของข้อ

7. รักษารังแค หรือย้อมผมดำ

นำใบเตยประมาณ 2-5 ใบมาบดให้ละเอียดจนเป็นผงคล้ายแป้ง จากนั้นนำผงใบเตยมานวดศีรษะเป็นประจำจะช่วยลดรังแคได้ หรือว่าถ้าต้องการย้อมผมดำ เพียงแค่นำมาต้มจนเป็นสีเขียวเข้มแล้วมาผสมกับน้ำลูกยอต้ม คุณจะได้สีย้อมผมสีดำที่คืนความดำเงาให้เส้นผมแบบไม่เสี่ยงต่อสารเคมี

แค่ต้มน้ำ ใบเตยหอม ดื่มทุกวัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านนะครับ หากท่านชอบช่วยกดไลค์แฟนเพจและแบ่งปันเรื่องงราวให้เพื่อนของคุณด้วยนะ ครั้งหน้าเราจะนำอะไรมาแบ่งปันกันอีกรอติดตามชมได้เลยครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaihealth.or.th  /  เรียบเรียงข้อมูลโดย : Naykhaotom

นักศึกษา ปวส.2 รายได้เกือบ 20,000 ต่อเดือน จากการปลูกพริกกระสอบขาย ปลูกง่าย กำไรงาม

นักศึกษา ปวส.2 รายได้เกือบ 20,000 ต่อเดือน จากการปลูกพริกกระสอบขาย ปลูกง่าย กำไรงาม


นักศึกษา ปวส.2 รายได้เกือบ 20,000 ต่อเดือน จากการปลูกพริกกระสอบขาย ปลูกง่าย กำไรงาม

เงินมันอยู่รอบตัวเราหากรู้จักวิธีการหา บทความนี้ก็เอาอีกหนึ่งผลงานการสร้างรายได้ระหว่างเรียนมาฝากกัน เป็นการทำเกษตรจาก นักศึกษา ปวส. ปี 2 โดยการ ปลูกพริกกระสอบ อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากขุดหลุม หรือสภาพดินไม่เหมาะสำหรับการทำเกษตรพริกกระสอบ เราก็สามารถปรุงดินในกระสอบได้เองเลย แล้วใช้กระสอบนั้นเป็นกระถาง จะเป็นอย่างไรมาติดตามพร้อมกันได้เลย

ทำไมต้องปลูกพริกในกระสอบ?

เจ้าของผลงานทำรายได้งามนี้คือ นายพิเชษ ด้วงชู เป็นนักศึกษา ปวส. ปี 2 ซึ่งก็ได้เรียนในสาขาพืชศาสตร์ ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง ด้วยความที่อยากจะหารายได้เสริมเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง จึงได้คิดว่าทำอย่างไรจึงจะหาเงินเพิ่มได้อีก
ไอเดียการปลูกพริกกระสอบก็ผุดขึ้นมาโดยการเข้าร่วมโครงานเกษตรเพื่อชีวิต เกษตรรุ่นใหม่ใส่ใจมาฐาน ของทางสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้เป็นคนจัดโครงการขึ้นร่วมกันกับทางวิทยาลัยเอง เพื่อให้เกษตรกรรุ่นใหม่ใส่ใจมาตรฐานการผลิตมากขึ้น
ด้วยความตั้งใจในการหารายได้เสริมบนที่ดินเพียง 1 งาน สามารถสร้างรายได้เกือบเดือนละ 20,000 บาท แบ่งเบาภาระช่วยพ่อแม่ไดเยอะ เงินจำนวนนี้ส่งตัวเองเรียนได้จนจบปริญญาตรีเลย แม้ว่าในการทดลองทำครั้งแรกจะเคยกำไรน้อยแต่เมื่อได้ลงมือจริงจังแล้วบนที่ดิน 1 งาน ได้เยอะกว่านั้นเมื่อเพิ่มจำนวนพริกกระสอบเป็น 200 กระสอบ
ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 3 เดือน เก็บพริกได้ทุกอาทิตย์แล้วเอาไปขาย ราคาตลาดพริกกิโลกรัมละ 130 – 150 บาท ขึ้นอยู่กับราคาตลาดแต่ละช่วง โดยในแต่ละเดือนจะได้ประมาณ 120 กิโลกรัม เป็นเงินประมาณ 16,800 บาท ถือว่าเยอะมากสำหรับเงินเดือนของคนที่เป็นนักศึกษา

วิธีการปลูกพริกกระสอบ

1. หากระสอบตามจำนวนที่ต้องการมาได้เลย อยากจะปลูกกี่กระสอบก็เตรียมมาเท่านั้น
2. เอาดินร่วนปนทราย ปริมาณ 12 กิโลกรัมมาผสมเข้ากันกับมูลของวัว ปริมาณ 5 ขีด และปูนขาวอีก 1 กำมือ
3. จัดการผสมคลุกให้เข้ากัน
4. นำไปใส่ในกระสอบได้เลย
5. พับปากกระสอบลงให้สูงจากดินในนั้นประมาณ 5 นิ้ว เพื่อจะได้มีแนวกั้นลมพัด
6. เอาต้นกล้าพริกที่มีมาปลูกได้เลย อยากจะปลูกพริกชนิดไหนก็ตามแต่ละเลือกเลย แต่สำหรับของเขาอยู่พัทลุงพริกเดือยไก่เป็นที่ต้องการของตลาดเขาจึงเลือกปลูกชนิดนี้
7. ระยะเวลา 3 เดือน เก็บขายได้เลย
8. เมื่อต้นพริกหมดอายุแล้วก็ยกเอาดินในกระสอบเก่านั้นออกมาฆ่าเชื้อโดยการตากแดดและทำใหม่วนกันแบบเดิม
เป็นการหารายได้เสริมที่กลายเป็นรายได้หลักได้เลย ในการปลูกพริกกระสอบนี้แม้เวลาน้อยก็ทำได้ เป็นเกษตรกรยุคใหม่โดยแท้ต้องไม่ใช้สารเคมีอันตราย ต้องคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคด้วย และท่านใดที่ต้องการจะหารายได้จากการทำเกษตรลองปลูกพริกกระสอบดูอาจจะสร้างรายได้งามมากก็ได้
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ไทยรัฐ

ขอบคุณบทความดีๆจาก https://www.naykhaotom.com

“7สมุนไพร” ประจำวัน ให้ช่วยลดน้ำตาล-ต้านเบาหวาน ทั้งถูกทั้งหาง่าย!

“7สมุนไพร” ประจำวัน ให้ช่วยลดน้ำตาล-ต้านเบาหวาน ทั้งถูกทั้งหาง่าย!


เหตุที่นำความรู้สมุนไพรเพื่อนเบาหวานมาคุยกันในคอลัมน์นี้บ่อยๆ เนื่องจากชาวไทยทั้งที่อยู่เมืองหรืออยู่ในหมู่บ้านห่างไกล กำลังเผชิญกับภัยคุกคามใกล้ตัวจากเบาหวานอย่างไม่น่าเชื่อ ใครที่คุ้นเคยกับโรงพยาบาลชุมชนย่อมคุ้นเคยกับคลีนิคเบาหวาน ที่เปิดอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งมีชาวบ้านรอคิวกันครั้งละหลายร้อยคน ลองหันไปสำรวจคนรอบข้างตัวคุณ เชื่อว่าจะมีอย่างน้อย 1 คนที่คุณรู้จักกำลังเป็นเบาหวาน
การดูแลสุขภาพของผู้เป็นเบาหวานนั้น ในทางวิชาการยอมรับกันแล้วว่า การกินยาลดน้ำตาลอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การกินอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการฝึกฝนด้านจิตใจ เรียนรู้การผ่อนคลายเพื่อให้ห่างไกลความเครียดเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ซึ่งหมายถึงพึ่งยาอย่างเดียวไม่พอ ต้องพึ่งตนเองรู้จักเลือกกินเลือกอยู่ให้สมดุลจึงอยู่กับเบาหวานได้อย่างมีความสุข
Image result for ช้าพลู มติชน
ช้าพลู เป็นผักพื้นบ้าน แต่ก็สามารถนำมาปลูกในบ้านได้ เมื่อเกิดแล้วไม่ต้องกลัวสูญพันธุ์ ตัดทิ้งอย่างไรพอฝนมาหรือรดน้ำก็มีต้นงอกให้ใช้งานได้เสมอ ในแง่อาหารการกิน ช้าพลูเป็นตัวเอกของเมี่ยงคำ ใช้ใบห่อเครื่องปรุงต่างๆ ในแง่ยาสมุนไพร ตำรับยาพื้นบ้านและความรู้แบบปากต่อปาก ซึ่งสืบทอดมานาน ยอมรับว่าใช้ช้าพลูแก้เบาหวาน
ขณะนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง โดยต้มน้ำช้าพลูทั้งห้า แล้วป้อนให้กระต่าย 2 กลุ่ม กลุ่มกระต่ายปกติ และกลุ่มที่เป็นเบาหวาน โดยทำการเปรียบเทียบกับยาฝรั่งชื่อ ทอลบูตาไมด์ (Tolbutamide) และน้ำกลั่น พบว่า น้ำช้าพลูช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่ลดน้ำตาลของกระต่ายปกติ และให้กระต่ายกินยาทั้ง 2 ชนิดต่อไปอีก 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำช้าพลูยังมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ขณะที่ยา ทอลบูตาไมด์ มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเท่าน้ำช้าพลู
Image result for มะระขี้นก มติชน
ถัดจากช้าพลู มะระขี้นก ที่เลื้อยริมรั้วก็เป็นสมุนไพรเพื่อนเบาหวานได้ดี มีการศึกษาพบว่าสารในมะระขี้นกออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินด้วย และยังยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับอ่อน มะระขี้นกจึงมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีการใช้มีหลายวิธี ที่สะดวกและง่ายในเวลานี้ คือรูปแบบแคปซูล สามารถกินมะระขี้นกบดผง ขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง
มะระขี้นก เป็นผักพื้นบ้านของไทย แต่ก็พบได้ทั้งในจีน พม่า อินเดีย ศรีลังกา ไปจนถึงแอฟริกาและอเมริกาใต้ ทุกประเทศที่รู้จักมะระขี้นกก็จะนำมาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับผู้เป็นเบาหวานทั้งสิ้น แม้แต่หมอแผนปัจจุบันในอินเดียยังสั่งยามะระขี้นกให้คนไข้กิน มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเดินทางไปดูงานสมุนไพรทั้งที่จีนและพม่า ก็พบว่า หมอสมุนไพรที่นั่นสั่งมะระขี้นกให้ผู้ป่วยเบาหวานกินเป็นประจำ
Image result for ตำลึง มติชน
มะระขี้นกเลื้อยตามริมรั้วแล้ว ตำลึง ผักที่เลื้อยริมรั้วไม่ต้องหาซื้อมาปลูก แต่จะมาพร้อมฝนและพบได้ในที่รกร้าง ก็เป็นสมุนไพรลดน้ำตาลได้ดี นอกจากทำน้ำแกงจืดได้รสอร่อยถูกปากตั้งแต่เด็กไปจนผู้ใหญ่แล้ว นักวิชาการจากหลายประเทศยังช่วยกันศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยยอมรับว่า ตำลึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ซึ่งส่วนที่ออกฤทธิ์นั้นใช้ได้ทั้ง ใบ ราก ผล ตำรายาอายุเวทเก่าแก่นับพันปี ก็บันทึกไว้ให้ใช้ตำลึงเป็นยาแก้เบาหวาน
วิธีใช้ง่ายๆ ให้สมกับตำลึงขึ้นได้ทั่วไป คือให้กินพร้อมมื้ออาหรให้ได้วันละ 1 กำมือ หรือจะใช้วิธีตามตำรา นำยอดตำลึง 1 กำมือ ปรุงรสด้วยการใส่เกลือหรือน้ำปลาเล็กน้อย เพื่อให้กินอร่อยขึ้น แล้วนำไปห่อด้วยใบตอง เอาไปเผาไฟให้สุก กินให้หมด ให้กินก่อนนอนติดต่อกัน 3 เดือน ผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานก็น่าจะหันมากินตำลึงกันเป็นประจำ เป็นการช่วยป้องกันเบาหวาน และยังได้รับวิตามินโดยเฉพาะวิตามินเอที่มีอยู่สูงมาก มีวิตามินซีสูงกว่ามะนาว มีวิตามิน บี 3 ช่วยบำรุงผิวหนัง มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และที่สำคัญ กินตำลึงเป็นประจำ ไม่ท้องผูก เพราะมีใยอาหารจำนวนมาก
ผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่งซึ่งคนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นยาช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เป็นผักคู่อาหารยอดฮิตของคนไทย “กะเพราไก่ไข่ดาว” นั่นเอง กะเพรา มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายชนิด ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านความเครียด แก้หืด ต้านอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด และมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย ในใบกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยและพฤกษเคมีหลายชนิด นักวิจัยพบว่าช่วยทำให้ตับอ่อนผลิตและหลั่งอินซูลลินได้ดีขึ้น
การศึกษาวิจัยให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน กินใบกะเพราะบดผงวันละ 2.5 กรัม นาน 4 สัปดาห์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ วิธีทำใช้เอง อาจนำใบกะเพราตากแห้ง แล้วบดผง นำมา 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย กินวันละ 3 ครั้ง หรือจะบรรจุแคปซูล กินวันละ 2.5 กรัม ก็ได้ นักวิจัยแนะนำว่า กะเพราเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานไม่รุนแรง แบบเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง
เตยหอม เป็นสมุนไพรใกล้ตัวอันดับที่ห้าที่อยากชวนให้ลิ้มลอง เป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันทั่วประเทศ ปรุงเป็นเครื่องดื่มรสอร่อยหอมชื่นใจ ทำเป็นอาหารคาวหวานได้อีกหลายชนิด เช่น ไก่ห่อใบเตย วุ้นใบเตย คนทั่วไปมักรู้จักสรรพคุณทางยาของต้นเตยหอม เป็นชาชงช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ใช้แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย แต่มีคนไม่มากรู้จักนำเอารากเตยหอม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดความดัน และลดเบาหวาน
และดูเหมือนว่าเตยหอมเป็นสมุนไพรที่คนไทยรุ่นเก่ารู้จักใช้เพื่อแก้เบาหวานกันมาก ใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยวๆ และอยู่ในตำรับก็มี
ขณะนี้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าเตยหอมมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และขับปัสสาวะ แม้ว่ายังไม่ได้วิจัยถึงขั้นทดลองในคน แต่เตยหอมเป็นตำรับยาที่มีความปลอดภัย และคนทั่วไปหามาใช้ประโยชน์ได้ง่าย ราคาถูก ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็สามารถทำเครื่องดื่มรสอร่อยดื่มกินได้
ถ้าว่ากันตามตำรา ใช้รากเตยหอม 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ใส่น้ำประมาณ 1 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 15-20 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 เวลา เวลาต้มจะปรุงแต่งใส่ใบเตยหอมให้มีสีสันและเพิ่มกลิ่นหอมให้ชวนดื่มก็ได้

สมุนไพรใกล้ตัวคนไทยอีกชนิดหนึ่งคือ ว่านหางจระเข้ แม้ไม่ใช่พืชท้องถิ่นดินแดนสยาม แต่คนไทยรู้จักกันทั่วไป พบเห็นการปลูกไว้ในกระถางหน้าบ้านทั่วทุกภาค ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกรีก ราวๆ กว่า 3,500 ปีมาแล้ว สมัยนั้นมีบันทึกการใช้ไว้อย่างละเอียด สมัยนี้ก็ยังนิยมใช้ในสรรพคุณไม่แตกต่างกัน ตั้งแต่ใช้รักษาบาดแผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ผื่นคัน ผิวหนังผุผอง ถูกแดดแผดเผา ใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผม แก้โรคริดสีดวง เป็นต้น
ว่านหางจระเข้จึงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมาก และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ในการศึกษาทางยาพบสิ่งที่น่าสนใจว่า ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองและในคนด้วย ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
วิธีการใช้ว่านหางจระเข้อย่างง่ายๆ ให้ตัดกาบใบว่านหางจระเข้ ที่ปลูกมาอย่างน้อย 1 ปี นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกออก จะได้เนื้อวุ้นใสๆ ให้รับประทานวันละ 15 กรัม ทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรกินเนื้อวุ้นสดๆ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า เนื้อวุ้นที่เก็บไว้จะมีสรรพคุณลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเคล็ดลับในการเตรียมยา คือ
ถ้าตัดกาบใบมาทั้งกาบ ให้ตัดเป็นท่อนในขนาดที่จะกินในวันนั้น ที่เหลือไม่ควรปอกเปลือก และให้เก็บไว้ในตู้เย็น ควรกินให้หมดภายใน 3-5 วัน ถ้าต้องการกินต่อจึงไปตัดจากต้นสด

สมุนไพรใกล้ตัวอันดับเจ็ด เป็นสมุนไพรอินเทรนด์ตามกระแสการดื่มกาแฟสด ซึ่งสูตรกาแฟชนิดหนึ่งจะมีการปรุงด้วยอบเชยเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม คนรุ่นใหม่จึงรู้จักอบเชยมากขึ้น ต้นอบเชยมีหลายชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีและนำมาใช้ปรุงยาหรือใช้ปรุงอาหารมักจะเป็น อบเชยจีน เพราะมีกลิ่นหอม เปลือกมีความบาง แต่ถ้าหาอบเชยจีนไม่ได้ จะใช้อบเชยไทย อบเชยญวน และอบเชยอื่นๆ แทนก็ได้ มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเขียนเรื่องราวอบเชยแก้เบาหวานไว้อย่างละเอียดแล้ว ผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของมูลนิธิได้ (www.thaihof.org)
ในที่นี้ขอย้ำเตือนว่าอบเชยเป็นสมุนไพรของชาวเอเซียที่คนทางยุโรปและอเมริกาให้ความสนใจมาก การเผยแพร่สรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดนี้ก็มาจากการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการในวารสาร New Scientist และยังมีผลรายงานการศึกษาในที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง พอสรุปได้ว่า
ในอบเชยมีสารที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และสารในอบเชยยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน คือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
วิธีกินอย่างง่ายๆ ให้กินผงอบเชยจีนครั้งละครึ่งช้อนชา วันละ 2 เวลา เช้าและเย็น โดยอาจผสมผงอบเชยจีนในเครื่องดื่มนม โกโก้ โยเกิร์ต ก็ได้ หรือบรรจุผงอบเชยจีนในแคปซูล ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน จึงจะเห็นผล
สมุนไพรที่นำเสนอไปทั้ง 7 ชนิด ช้าพลู มะระขี้นก ตำลึง กะเพรา เตยหอม ว่านหางจระเข้ และอบเชยจีน เป็นสมุนไพรที่คนทั่วไปรู้จัก แม้แต่เด็กแนวเด็กอินดี้หรือเด็กเรียนก็ยังรู้จักไม่ต้นใดก็ต้นหนึ่ง สมุนไพรเหล่านี้เป็นของใกล้ตัว และมีการศึกษาวิจัยพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ จึงเป็นทางเลือกใกล้ตัวให้นำมาใช้ให้เหมาะกับรสนิยมและความชอบส่วนตัว เพื่อเป็นเพื่อนเบาหวานได้ทุกวัน


ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก : https://www.matichonweekly.com/lifestyle/article_22143